ESPANA
Welcome Spa Delivery Massage

We treatments are based on the ancient Thai medical theory. Traditional massages, heat therapies and authentic herbs are used to bring the physical conditions and spirit back to a state of balance.

Herbal recipes and procedures handed down through generations ensure us spa cares are free of petrochemicals, synthetic perfumes or colors, complement the spa's concept and suit individual needs and preferences

ประวัติการนวดแผนโบราณ  

 

 

         การนวดของไทย เป็นการสืบทอดมรดกที่มีมาแต่โบราณโดยการถ่ายทอดความรู้จากบรรพบุรุษจนถึงรุ่นลูก สู่รุ่นหลาน และรุ่นต่อๆ มา ซึ่งนำมาจากประสบการณ์ที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลปที่มีความละเอียดอ่อน มีความสลับซับซ้อน การนวดจึงเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีบทบาทในการบำบัดอาการปวดเมื่อย และอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น 

 

         การนวด หมายถึง การตรวจประเมิน การวินิจฉัย การบำบัด การป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพและการฟื้นฟูสุขภาพด้วยวิธีการกด การคลึง การดึง การดัด การบีบ การประคบ การอบ หรือวิธีการอื่นตามศิลปะการนวดไทย หรือการใช้ยาตามกฎหมายว่าด้วยยา ทั้งนี้ด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทยเชื่อกันว่า รากฐานการนวดแผนโบราณมาจากประเทศอินเดีย โดยหมอชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำราชวงศ์สักยะ และเป็นแพทย์ประจำองค์พระพุทธเจ้าได้เป็นผู้ริเริ่มขึ้นในสมัยพุทธกาล ได้แพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด พบว่ามีการนวดกันเฉพาะแต่ในรั้วในวัง โดยจะนวดแต่พระเจ้าแผ่นดินหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นต่อมาภายหลังจึงเริ่มกระจายไปสู่บุคคลทั่วไป เนื่องจากผู้นวดดังกล่าวได้มีอายุมากขึ้นและเกษียณราชการได้กลับไปอยู่บ้านแล้วได้ถ่ายทอดวิชาให้แก่ลูกหลานเพื่อนบ้านใกล้เคียงสืบต่อกันมา ดังนี้

 

ในแผ่นดินสมัยอยุธยา

         ในปี พ.ศ. ๒๒๐๔ ราชทูตฝรั่งเศส ไวมอน เดอลูแบร์ ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับการแพทย์การรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคนไทยสมัยนั้นด้วยวิธีการนวดเส้น การกินยาสมุนไพรเป็นพื้นฐานในการรักษาพยาบาล การรักษาด้วยวิธีนี้เรียกได้ว่าเป็นการรักษากันภายในครอบครัว บ่าวนวดให้นาย ภรรยานวดให้สามี, สามีนวดให้ภรรยา, ลูกๆ นวดให้พ่อแม่และปู่ย่าตายาย ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๐๐ การนวดแผนโบราณได้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และได้เริ่มมีการเขียนตำราเกี่ยวกับการนวดแผนโบราณไว้ในใบลานโดยจารึกไว้เป็นภาษาบาลี และในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาจนเสียหายอย่างหนักทำให้ตำราเกี่ยวกับการนวดแผนโบราณเหล่านี้ก็พลอยสูญหายไปด้วย (ถูกเผา) คงเหลือเป็นบางส่วน

 

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
          สมัยรัชกาลที่ ๑ ในปี พ.ศ.๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงโปรดให้มีการจารึกตำรายาและตำราฤๅษีดัดตนไว้ตามศาลาราย

          สมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดให้มีการรวบรวมและ สลักไว้บนฝาผนังที่วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) และตำราในส่วนนี้เองที่เป็นรากฐานของการนวดแผนโบราณในปัจจุบัน ในจดหมายเหตุของลาลูแบร์กล่าวไว้ว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชำระคัมภีร์แพทย์ทั้งมวลให้เป็นที่ถูกต้องและจดบันทึกเก็บไว้ในสมุดข่อย ในครั้งนั้น กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย ร่วมกับกรมหมื่นอักษรสาสน์โสภณ และหลวงสารประเสริฐ ชำระตำราแผนนวดไว้ด้วยได้เป็น “ตำราแผนนวดฉบับหลวง” นอกจาก นั้นในสมัยนี้ยังมีการสอนวิชาหมอนวดให้กับนักเรียนแพทย์ชั้นปีที่ ๓ ในโรงเรียนราชแพทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยด้วย แต่ต่อมาได้เลิกทำการสอนไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

 

         ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นผู้ที่มีชื่อเสียงมากในการนวดในขณะนั้นคือ หมออินเทวดา ซึ่งเป็นหมอนวดในราชสำนักได้ถ่ายทอดวิชานวดทั้งหมดให้แก่บุตรชายคือ หมอชิต เดชพันธ์ ซึ่งต่อมาได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ ความรู้เกี่ยวกับการนวดแผนโบราณนั้นได้เริ่มแพร่หลายและเปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไป การนวดแผนไทย เป็นวิชาที่มีลักษณะพิเศษเป็นเอกลักษณ์การนวดที่ใช้รูปแบบการนวดหลากหลายวิธีการแตกต่างกัน ซึ่งในแต่ละวิธีก็จะยึดถือเอาโครงสร้างตามแนวเส้นประทาน ๑๐ และเส้นบริวารอีก ๗๒,๐๐๐ เส้น เป็นพื้นฐานเหมือนๆ กัน

 

          ในยุคสมัยโบราณคนไทยเราพึ่งพาอาศัยวัดเป็นสถาบันศึกษา ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริ) หรือสมเด็จป๋า ครั้งทรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมวโรดมทรงดำริก่อตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณขึ้น วัดโพธิ์ได้คัดลอกตำราที่เขียนจารึกไว้ตามศาลาราย เป็นการรวบรวมวิชานวดแผนโบราณเอาไว้เพื่อให้ในภาคปฏิบัติในการนวดให้ได้ผลซึ่งเป็นตำนานและวิธีการนวดแบบหมอนวดไทย จะเริ่มปฏิบัติในการนวดตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปทางศรีษะ นี่แหละคือวิชาความรู้วิธีการนวดแบบแผนโบราณดั้งเดิมในอดีตที่ควรอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอดภูมิปัญญาไทย และส่งเสริมให้ก้าวหน้าและคงอยู่ต่อไป